ความเป็นมาของลิเก

ความเป็นมาของลิเก



ลิเกมีมานานนับร้อยปี ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5 ลิเกมีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อชาวมลายูได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยได้สวดถวายตัวในงานบำเพ็ญพระราชกุศลปี ค.ศ.2432 คำว่าลิเก เพี้ยนมาจาก "ดิเก" ในภาษามลายู แปลว่าการขับร้องลำนำต่างๆ การเล่นลิกของชาวมลายูนั้นนั่งล้อมวงประมาณ 10 คน ตีรำระนาทและร้องเพลงไปพร้อมๆกัน ทำนองเรียกว่า "บันตน" 


ขั้นตอนการแสดงลิเก


    บทในการออกมาครั้งแรกแล้ว ก็ลาโรงด้วยการร้องเพลงแจ้งให้ผู้ชมทราบว่า ตนคิดอะไรและจะเดินทางไปไหน จากนั้นปี่พาทย์ทำเพลงเสมอให้ผู้แสดงรำออกไป ลิเกเริ่มการแสดงเป็นละคร ด้วยฉากตัวพระเอก แต่ในระยะหลังๆ นี้ มักเปิดการแสดง ด้วยฉากตัวโกง เพื่อให้การดำเนินเรื่องรวบรัด และฉากตัวโกง ก็อึกทึกครึกโครม ทำให้ผู้ชมตื่นเต้น และติดตามชมการแสดง การดำเนินเรื่องแบ่งออกเป็นฉากสั้นๆ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งดึกยิ่งใกล้จะจบ การแสดงก็ยิ่งคึกคัก ตื่นเต้น โลดโผน ตลกโปกฮา จนถึงมีฉากตลกเป็นฉากใหญ่ให้ผู้ชม ครื้นเครง แล้วรีบรวบรัดจบเรื่อง ซึ่งบางครั้งก็ไม่จบบริบูรณ์ แต่ผู้ชมก็ไม่ติดใจสงสัย 

    การแสดงในฉากแรกๆ เป็นการเปิดตัวละครสำคัญในท้องเรื่อง ผู้แสดงจะส่งสัญญาณให้นักดนตรีบรรเลงเพลง สำหรับรำออกจากหลังเวที เช่น เพลงเสมอ หรือเพลงมะลิซ้อน เมื่อรำถวายมาถึงหน้าตั่งหรือเตียง ที่วางอยู่กลางเวทีก็นั่งลง หรือทำท่าถวายมือยกเท้าจะขึ้นไปนั่ง แต่กลับยืนอยู่หน้าเตียง แล้วร้องเพลงแนะนำตัวเอง และตัวละครที่สวมบทบาท พร้อมทั้งร้องเพลงขอบคุณผู้ชมและออดอ้อนแม่ยก เพลงที่ร้องเป็นเพลงไทยอัตราสองชั้นด้นเนื้อร้องเอาเอง จากนั้นเป็นการร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยมอีก ๑ เพลง แล้วจึงดำเนินเรื่องร้องรำ และเจรจา ด้วยการด้นตลอดไปจนจบฉาก เพลงที่ใช้ร้องด้นดำเนินเรื่องเรียกว่า เพลงลิเก ที่มีชื่อว่า เพลงรานิเกลิง หรือ ราชนิเกลิง เมื่อตัวแสดงหมด


    การแสดงในฉากต่อๆ มา ผู้แสดงมักเดินกรายท่าออกมา ผู้แสดงบนเวที หรือผู้บรรยายหลังโรงจะแจ้งสถานที่ และสถานการณ์ในท้องเรื่องให้ผู้ชมทราบ แล้วจึงดำเนินเรื่องไปจนจบฉากอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้แสดงหมดบทบาทของตนเองแล้ว ก็จะร้องเพลงด้วยเนื้อความสั้นๆ แล้วกลับออกไปด้วยเพลงเชิด ซึ่งใช้สำหรับการเดินทางที่รวดเร็ว 

     การแสดงในฉากตลกใหญ่ ซึ่งเป็นฉากสำคัญที่ผู้ชมชื่นชอบนั้น ผู้แสดงจะเวียนกันออกมาแสดงมุขตลกต่างๆ โดยมีตัวตลกตามพระ คือผู้ติดตามพระเอก กับตัวโกงเป็นผู้แสดงสำคัญในฉากนี้ เนื้อหามักเป็นการที่ตัวตลกตามพระ หามุขตลกมาลงโทษตัวโกง ทำให้คนดูสะใจ และพึงพอใจ ที่คนไม่ดีได้รับโทษ ตามหลักคำสอนของศาสนา ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 

      การแสดงในฉากจบ มักเป็นฉากที่ตัวโกงพ่ายแพ้แก่พระเอก ผู้แสดงเกือบทั้งหมดออกมาไล่ล่ากัน ประฝีปาก และฝีมือกัน โดยในตอนสุดท้าย พระเอกเป็นฝ่ายชนะ ส่วนตัวโกงพ่ายแพ้ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องหนีไป หรือยอมจำนนอยู่ ณ ที่นั้น การแสดงก็จบลง โดยไม่มีการตายบนเวที เพราะถือว่า เป็นเรื่องอัปมงคล ผู้แสดงมักทำท่านิ่ง เพื่อแสดงให้ทราบว่า การแสดงจบลงแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น